เปิดกรุหนังสยอง The Autopsy of Jane Doe เล่นท่าไม่ยาก แต่ถูกที่และเวลา ก็พาสยองได้สุดใจ

Jane Doe หรือ เจน โด ในชื่อเรื่องนั้นเป็นชื่อที่ใช้เรียกแทน ศพ ที่ไม่ทราบชื่อ กรณีที่เป็นผู้ชายจะเรียกแทนด้วยจอห์น โด ดังนั้นชื่อเรื่องที่ตั้งมาก็บอกเรื่องราวย่อ ๆ ของหนังได้ว่า นี่เป็นหนังเกี่ยวกับการชันสูตรศพที่ไม่ทราบชื่อ ไม่รู้ที่มา หรือไม่รู้อะไรเลย

หนังเล่าเรื่องของสองพ่อลูกที่มีอาชีพชันสูตรศพ วันหนึ่งต้องรับงานด่วนเป็นศพหญิงสาวซึ่งพบในบ้านที่มีเหตุฆาตกรรมโหดเหี้ยมเกิดขึ้น ร่างของเธอไม่มีข้อมูลอะไรเลย มันอยู่ในสภาพเปลือยเปล่า ดูสวยงามอย่างน่าพิศวง ทั้งสองลงมือชันสูตรตามขึ้นตอน เก็บตัวอย่าง เจาะ ผ่า ควัก โดยระหว่างการทำงานที่คุ้นชินนั้น บางอย่างกลับค่อย ๆ เปิดเผยตัวออกมา
ตอนช่วงที่หนังเข้าฉายในปี 2016 นั้นเป็นกระแสตามเทศกาลพอสมควร ผู้ชมส่วนใหญ่บันเทิงไปกับการค่อย ๆ หลอกหลอนของหนัง โดยเริ่มต้นจากการตั้งคำถามง่าย ๆ ให้กับคนดู เจน โด หรือ ศพ ที่ได้มานั้น เธอคือใคร จากนั้นหนังก็ป้อนข้อมูลให้คนดูเพิ่มมากขึ้น และแต่ละข้อมูลนั้นก็ทำให้รู้สึกแปลกใจมากขึ้นไปเรื่อย ๆ โดยทั้งหมดนั้นมีศูนย์กลางอยู่ที่ศพหญิงสาว

องค์ประกอบของความสยองหลักนั้นเริ่มต้นจากพื้นฐานที่คนเราไม่อยากเห็น นั่นคือการชำแหละร่างกาย ซึ่งมนุษย์ปกติทั่วไปคงไม่พึงประสงค์เท่าไหร่ และหนังก็จัดเต็มให้ในจังหวะที่พอเหมาะพอควร ต่อจากนั้นก็เริ่มเพิ่มส่วนผสมอื่นเข้ามา ทั้งแบบที่เราคุ้นชินอย่างเสียงเพลงจากวิทยุ เสียงตุ้งแช่ คละเคล้าไปกับการแหวกดูเครื่องใน และเผยข้อมูลสำคัญให้ผู้ชมรู้
เมื่อชมไปจนได้ข้อมูลพอสมควร เราก็พอจะเดาได้ว่าเธอน่าจะเป็นอะไร และพอหนังเปิดเผยให้ตัวละครรู้ หนังก็ขยับเปลี่ยนความสยองไปเป็นรูปแบบอื่นที่เหนือธรรมชาติมากขึ้น ตกใจมากขึ้น แต่ก็บันเทิงมากขึ้นด้วยเช่นกัน เพราะเหมือนเป็นการปลดล็อกช่วงแรกที่พยายามกดความเหนือธรรมชาติเอาไว้ เพื่อให้รู้สึกถึงความจริงจังและชักจูงให้ผู้ชมเกิดความอยากรู้ พอเดินถลำเข้ามากลางเรื่องหนังก็กระหน่ำความสยองหนักข้อขึ้นเรื่อย ๆ
มีช่วงหนึ่งของหนังที่เล่นกับอารมณ์ได้ดี คือช่วงหลังจากที่สองพ่อลูกพยายามเผาร่างของเธอแต่ไม่สำเร็จ ทั้งสองเริ่มรู้สึกว่ากำลังเจอของจริงเข้าให้แล้ว พ่อจึงเสนอให้หนีโดยพุ่งตรงไปที่ลิฟต์ ลูกชายหยิบขวานติดมือไปด้วย ทั้งสองวิ่งไปจนถึงแต่ไม่ทันลิฟต์ที่กำลังปิด ระหว่างที่กำลังคิดหาทางไปต่อก็ได้ยินเสียงกระดิ่งดังแว่วมาจากในความมืด ซึ่งกระดิ่งนี้ถูกบอกเล่าเอาไว้ตั้งแต่เริ่มแรกผูกเอาไว้กับศพ เพื่อเป็นเครื่องเตือนเผื่อว่าศพจะขยับตัวได้

เมื่อได้ยินเสียงกระดิ่งก็หมายความว่าร่างที่เคยนอนสงบนิ่งกำลังเคลื่อนไหวและกำลังเดินตรงมา สองพ่อลูกรีบกดลิฟต์ ขณะที่ในความมืดเริ่มเห็นเงาของศพใกล้เข้ามา แสงไฟที่กะพริบทำให้เห็นใบหน้าซึ่งเป็นรูโหว่จากการใช้ปืนลูกซองยิงอัด พ่อดึงขวานไปถือไว้ ลูกชายใช้แรงง้างประตูลิฟต์ออก เสียงกระดิ่งดังใกล้เข้ามา ทั้งสองพุ่งเข้าไปในลิฟต์แต่ทว่าไม่สามารถปิดประตูได้ ในที่สุดพ่อที่ผ่านอะไรมามากกว่าตั้งสติ กำขวานในมือ เงาของศพหน้าทะลุใกล้เข้ามา เสียงกระดิ่งดังขึ้น และทันทีที่เห็นบางสิ่งเคลื่อนไหวที่หน้าประตูลิฟต์ พ่อก็เหวี่ยงขวานในมือออกไป ทุกอย่างเงียบสงบลงครู่หนึ่ง ก่อนจะได้ยินเสียงหายใจรวยรินจากร่างของตัวละครหนึ่งที่เคยปรากฏตัวก่อนหน้านี้

อ่านมาถึงตรงนี้จะเห็นว่าหนังวางโครงเรื่องไว้อย่างดี มีจังหวะเริ่มต้นที่ค่อย ๆ กระตุ้นความอยากรู้ผสมความกลัว จากนั้นก็เพิ่มความซับซ้อนเข้มข้นขึ้น ส่วนสำคัญที่สนับสนุนให้หนังดูสนุกนั้นก็คือองค์ประกอบต่าง ๆ ในด้านงานสร้าง ซึ่งทำได้อย่างลงตัว ที่ฉลาดคือการกำหนดให้สถานการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในที่เดียวคือบ้านหลังใหญ่ มีห้องใต้ดินเป็นห้องชันสูตรและเก็บศพ โดยเฉพาะลิฟต์เก่าที่เป็นจุดขึ้นลง หรือเปรียบเสมือนประตูสู่ทางออกของตัวละคร
แม้สถานการณ์จะเกิดอยู่ในพื้นที่จำกัด ตัวละครก็มีเพียงสองตัวหลักกับหนึ่งร่าง แต่หนังก็สามารถสร้างความตื่นตาตื่นใจได้ในระดับที่น่าสนใจอยู่ตลอดความยาวของหนัง จุดที่คิดว่าดีงามมากคือความละเอียดลออในการสร้างบรรยากาศความไม่น่าไว้ใจ รวมถึงแนวคิดในการนำเรื่องเก่ามาแปรรูปเพื่อเล่าใหม่ให้รู้สึกจริงจังมากขึ้น จนเราเชื่อว่าเรื่องเล่าที่เก่าแก่ยาวนานนั้นเป็นจริงและเศร้าโศก

จุดอ่อนของหนังนิด ๆ หน่อย ๆ ของหนังคือจังหวะเฉลยอะไรบางอย่างที่เป็นจุดหักเหของหนัง ทำได้ไม่ตื่นตามากนัก แต่โดยรวมนี่เป็นหนังสยองที่ดีเรื่องหนึ่ง เล่าเรื่องสนุก น่าสนใจ การออกแบบ งานสร้าง ไปจนถึงการกำกับทำได้ออกมาดีไม่น้อยหน้าหนังที่ทุนหนากว่า ต้องชมว่าคิดมาเยอะและรอบคอบพอ ทำให้งานที่ได้ออกมาดูเพลิน

ที่ชอบมากคือตัว เจน โด ที่นอนอยู่เฉย ๆ ตลอดเรื่อง แต่ก็มีพลังดึงดูดสายตาอยู่ตลอด แม้แต่ตอนที่ถูกควักหัวใจออกมากองก็ตามที...
ปักธูปการันตีความหลอน : 